วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร อ.บัวเชด จ.สุรินทร์
   
  วัดเขาศาลา watkaosala.com
  02 วิธีฝึกจิตไม่ให้หลงทาง
 

เรื่องวิธีฝึกจิตไม่ให้หลงทาง


วันนี้ก็มาอธิบายเกี่ยวกับวิธีฝึกหัดจิตใจของพวกเรา เพื่อให้มันถูกธรรม เพื่อไม่ให้หลงทาง เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้า ที่ท่านบัญญัติไว้ ที่ท่านประกาศสอน ท่านสอนทางที่ถูก และที่ตรง ที่ชัดเจนมาก การที่เราจะปฏิบัติธรรมเพื่อให้ตรงให้ชัดเจน ไม่หลงทาง เราจำเป็นต้องศึกษาข้อบัญญัติของพระองค์ท่าน เพื่อมาเป็นแนวทางกำหนดจิตภาวนาของเรา หลักของพระพุทธองค์ก็บัญญัติไว้ว่า ไม่ให้พวกเราไปเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล สิ่งที่ท่านให้คือ ให้เราเชื่อมั่น คำสอนของพระองค์ท่าน



เราระลึกถึงพระคุณของท่าน น้อมเข้ามาสู่ใจ คือระลึกถึงความสว่างที่ท่านให้คือ พุทโธ คือระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา ระลึกพระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา ระลึกถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งอันใดอื่นนั้นก็ไม่มี ท่านไม่ได้บัญญัติ คำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องน้อมใจระลึกและศึกษาข้อปฏิบัติของท่านด้วย เราระลึกถึงท่าน แต่บางครั้งเราปฏิบัติจิต มีสิ่งที่ทำให้จิตใจของเราหลงทางได้ การปฏิบัติจิตที่ละเอียด นึกภาวนาพุทโธไป อาจเห็นพระพุทธเจ้าบ้าง เห็นครูบาอาจารย์บ้าง เห็นต่างๆ นานา ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นมงคลแก่เรา เห็นครูบาอาจารย์ก็เป็นมงคลแก่เรา แต่ไม่ให้เราไปยึดมั่นในรูปนั้น คือท่านให้เรายึดมั่นความจริง สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่จริงอยู่ที่รูป ไม่ให้ยึดมั่นที่รูป แต่ความจริงในใจ เราสังเกตดูว่า ตอนนี้ที่มีอยู่จริง มันจริงขนาดไหน ประเภทจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือจริงกี่เปอร์เซ็นต์ เรายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้ากี่เปอร์เซ็นต์ หรือเราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ให้ยึดมั่นที่ใจ กำหนดที่ใจ ถ้าเราเห็นปรากฏการณ์ความสงบหรือสว่าง หรือเกิดปัญญา เราก็เกิดความเชื่อมั่น เพราะท่านสอนไว้ตรงนี้



สิ่งที่พวกเราจะไม่หลงทางคือ ทำตามแนวทางของท่าน เราก็ต้องพิจารณากายของเรา คือพิจารณากายเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เราไม่ติดในรูปกาย คือจิตที่มีความสงบแล้ว ถึงฐานความสงบแน่วแน่ ให้ย้อนมาพิจารณากายให้เกิดความรู้แจ้งในกายของเรา ถ้าจิตยังไม่สงบก็ต้องทำให้จิตสงบลงให้ได้ ถ้าสงบแล้วเรามาพิจารณากายได้ แต่ถ้าจิตใจเราไม่มีความสงบ เรามาพิจารณากายเลยก็ได้ ไปเรื่อยๆ จนจิตเราสงบ ได้เหมือนกัน วิธีนี้คือน้อมเข้ามาสู่ตัวเรา เราไม่อยากดึงจิตไปสู่ภายนอก การเห็นภายนอกไม่มีความสิ้นสุด มีแต่ยึดไปเรื่อยๆ เราพิจารณาให้เห็นความสิ้นสุดต้องน้อมเข้ามาสู่ใจของเรา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เห็นความจริงที่อยู่ในตัวเราเช่น เกศา นี่ก็..เขาให้พิจารณาว่าทำไมจึงเรียกเกศา ก็คือผมนั่นเอง เป็นกรรมฐานที่ไม่ใช่ทำได้เฉพาะพระสงฆ์ แต่พวกเราก็เอามาพิจารณาเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติได้ เราก็จะรู้ในสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมากกว่านี้เยอะ หากว่ายังไม่รู้จักจุดตรงนี้ที่เราลูกคลำตลอดทุกวัน เช่นผมเราก็ต้องซักฟอกเขาอยู่ทุกวัน ร่างกายก็ต้องบำรุงรักษาทุกวัน แต่เราบำรุงได้ แต่ไม่ยอมทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย ตรงนี้มันขัดกับการปฏิบัติอยู่นิดนึง การที่เรารักมันได้ ก็ต้องพิจารณาให้มันเบื่อหน่ายได้ ความเบื่อหน่ายในกายของเราต้องพิจารณาให้เห็นความจริง ให้เห็นปฏิกูลขึ้นมา สักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย เราไม่ได้อาบน้ำสักสองสามวันมีกลิ่นไม่แตกต่างจากถังขยะ เราต้องมองให้เห็นความสกปรก แล้วเราก็ต้องมองลงไปให้เห็นภายในตัว ความสกปรกภายในอารมณ์ด้วย ร่างกายสกปรก อารมณ์ของเราสกปรกด้วย ยิ่งมองอะไรไม่เห็น เรามาฝึกเพื่อกำจัดความสกปรกภายในจิตใจของเราให้หมดไป หรือ ความสงสัยในสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้หมดไป กำจัดความเศร้าหมองความมืด ความหลงทางในใจให้หมดไป ในการกำจัดให้หมดไปต้องตั้งหลักให้แน่วแน่คือผู้รู้นั่นเองที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้ได้ เราต้องมารู้จักในสิ่งที่กล่าวถึงเมื่อกี้ เช่นความสกปรกในกาย พยายามมองไปเรื่อยๆ ให้เกิดความเบื่อหน่าย ว่าอันนี้ไม่ใช่ของเรา อันนั้นก็ไม่ใช่ของเรา ถ้าใช่ของเรา ทำไมต้องสกปรกแบบนี้ ปรุงไปเรื่อยๆ พิจารณาไปเรื่อยๆ ตลอดจนอารมณ์ของเรา อารมณ์นี้เป็นตัวปัจจุบัน สำคัญมาก ถ้าหากทำให้จิตใจให้อยู่ในอารมณ์ธรรมตลอดไปได้ ใจก็จะเป็นอิสระ ใจก็ไม่หลงทาง แต่ถ้าจิตใจไม่อยู่ในอารมณ์ธรรม ใจจะหลงทางต่างๆ นาน การหลงทางของจิตมีอยู่มากจริงๆ กล่าวย่อๆ ที่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า คือมีความเชื่อมั่นในตัวเองปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนสงบ จนเข้าใจเอาว่าตัวเองถึงโสดาบันบ้าง สกิทาคา อนาคาบ้าง ตลอดถึงว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง ตรงนี้ถ้าเกิดขึ้นแก่จิตใคร ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ เพราะจิตมันหลอกทำให้หลงทาง การปฏิบัติจิต เราอย่าถือว่าเราเป็นนี่เป็นนั่น ขอให้เห็นจิตของเรา ดูว่ามันสงบได้ไหม มีความสุขขนาดไหน สิ่งที่เราจะต้องรู้ภายในกายของเรา เราต้องรู้จักขนาดไหน เรามีปรากฏการณ์อย่างนั้น เห็นอยู่ ย้อนมาดูกาย มันก็ไม่จริง มันทำให้หลงทางได้ เพราะการปฏิบัติสมาธิ หลายต่อหลายครูอาจารย์ บางคนปฏิบัติไปเรื่อยเกิดรู้ธรรม ก็อยากไปสั่งสอนครูบาอาจารย์บ้าง เช่นพระก็อยากไปสอนครูอาจารย์ เช่นหลวงพ่อพวง แกอยู่เขาพนมรุ้ง ปฏิบัติไปเรื่อย ท่านนึกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ต้องไปสอนหลวงปู่ดูลย์ ที่วัดบูรพาราม หลวงปู่ท่านก็ตะเพิดออกมา ด่าทำให้โกรธ ความหลงนั่นก็หายไป วิธีกำจัดวิปัสสนูต้องด่าให้โกรธ ถ้าโกรธแล้วหาย ถ้าไม่โกรธก็ไม่หาย พระหลายองค์เป็นแบบนี้ ทำไมปฏิบัติแล้วเสื่อมด้วย ทำไมไม่คงอยู่ตลอดไป โยมต้องเข้าใจว่าจิตที่ถึงจิตอันแท้จริงแล้วไม่เสื่อม จิตถึงจิต จิตถึงธรรมอันแท้จริง การปฏิบัติไม่บิดพลิ้วไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า ถึงเราจะอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้าการกระทำก็ต้องให้สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย ถ้าเรารู้ทันจริงเราก็ไม่ทำในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านไม่บัญญัติ เช่นหลวงปู่มหาบัวครูอาจารย์ของเราทั้งหลาย วินัยของท่านเคร่งมาก ท่านไม่บิดพริ้ว ท่านรักษาของท่านไว้ตลอด นี่ผู้รู้แล้วเป็นแบบนี้ ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้จะเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นานา โยมต้องดูที่จิตของเรา ซักฟอกให้สะอาดขนาดไหน หรือสงบขนาดไหน หรือเกิดปัญญาหรือเกิดความสว่างขนาดไหน เราก็ดู ไม่มีใครรู้เท่าตัวเราหรอก จิตคนละดวงเท่านั้นที่จะรู้ การรู้จิตเป็นวิธีหนึ่งของผู้ปฏิบัติ นิดเดียวเท่านั้นเอง มีส่วนในล้านเปอร์เซ็นต์ ในส่วนหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อันนี้เป็นวิธีกุศโลบายอย่างหนึ่ง รู้ได้ทุกคนแต่ว่าในระดับพวกเราก็ไม่ควรจะรู้ ควรจะรู้จิตของเราให้มาก เราศึกษาดูต้นสายปลายเหตุ เรากำหนดให้ลึกๆ เราจะรู้เลย ในความเห็นอาตมาไม่อยากให้รู้อะไรมาก แต่อยากให้รู้ในจิตของตนเอง กำหนดให้ลึกเข้าไป พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ ทำใจให้สบาย กำหนดให้สงบ ถ้าจิตมันสงบก็ให้มันสงบเข้าไป ถ้ามันขาดจากอารมณ์ก็ให้มันขาดไป ไม่ต้องกังวล ถ้าเกิดกังวลนิดเดียวจิตจะไม่เข้าจุดตรงนั้นเลย ต้องให้จิตลงในสมาธิให้แน่วแน่ เราต้องลงให้ดี ดิ่งลงให้ดี พุทยาวๆ โธด้วยความสว่าง ทั้งพุทดึงเข้าไป โธดึงเข้าไปเหมือนกัน ไม่ต้องพุทเข้าโธออก กระจายความสว่างในท้องของเรา พุทและก็โธ ทำไปเรื่อยๆ ในวงตรงนี้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ทำแล้วสบายมากๆ สุขภายนอกมันเจือปนด้วยความทุกข์ แต่สุขภายในมันสุขอมตะจริงๆ มันบอกใครไม่ได้ ทุกอย่างสุขอื่นใด นอกจากสุขในใจไม่มีอีกแล้ว อยากให้ญาติโยมกำหนดให้ถึงจริงๆ จะสุขได้ แต่ไม่ใช่ให้จิตติดสุขตรงนี้ เป็นแค่การพักจิตขณะหนึ่งเท่านั้นเอง เพื่อให้เกิดพลัง ถ้าจิตพักผ่อนดี ถอนขึ้นมาก็มีกำลังดี ปัญญาดี เหมือนคนที่ทำงานเหนื่อย ไม่ได้พักเลย มันเครียดไปหมดเลย ถ้าได้พักผ่อนสักนิดหนึ่ง สักชั่วโมงนึง จะกระปรี้กระเปร่า ตรงนี้เป็นการพักจิตของเรา วิธีการพักจิตของเรา เราก็ดูว่าเราพักได้แค่ไหน เฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม ครูอาจารย์ ญาติโยมที่ฝึกจนชำนาญแล้ว แค่ห้านาทีเท่านั้นเอง ตื่นขึ้นมากระปรี้เปร่าไปหมดเลย สติปัญญาก็ปลอดโปร่ง ความเครียดก็หายหมด เขาเรียกพักด้วยสมาธิ วิธีพักคือสูดลมยาวๆ เข้าไปในท้อง ทำไปเรื่อยๆ พุทโธ ๆๆ คือทั้งพุททั้งโธ คือความสว่าง พยายามกำหนดจิตให้อยู่ตรงนี้เรื่อยๆไปไม่ว่าอยู่ในสถานที่ใด กำหนดในองค์สมาธิดีแล้ว ไม่มีที่เราจะไปหลงงมงายในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรม จิตของเราจะเกิดความแน่วแน่ ไม่กระดิกกระเดี้ยไปที่อื่นเลย อะไรที่มันพัดผ่านมาก็รู้แล้วก็ปล่อย รู้แล้วก็ปล่อย มันผ่านมาได้ทั้งนั้น แม้แต่จิตที่สงบดีแล้ว ถอนขึ้นมาก็มีนิมิตมาก่อกวนด้วยเหมือนกัน นิมิตมาจากวิบากกรรมบ้าง มาจากกรรมจรบ้าง บางครั้งก็มาแรง ทำให้จิตใจเกิดหวั่นไหว ถ้ามาเบา จิตใจก็วางเฉยได้ เช่นที่มาแรงจิตของเราเมื่อสงบแล้ว ถอนขึ้นมาเห็นญาติของเราโดนทำร้ายร่างกาย โดนฆ่าตายเนี่ย เขาเรียกเป็นกรรมจร ทำให้จิตสะดุ้งขึ้นมา การสะดุ้งขึ้นมาตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจว่าใช่ จิตเราก็ตก อาตมาสังเกตดูเพื่อนอาตมาตอนที่อยู่ที่บ้านตาด ภาวนาไป อาตมาอดข้าว 5 วัน เพื่อนอาตมาก็อยากจะชนะอาตมา ก็อดข้าวไป 6 วัน จิตแกดิ่งมาก สงบมาก แน่วแน่มาก ถอนขึ้นมาเห็นน้องชายแกโดนรถชนตาย อยู่ที่สุรินทร์ สะดุ้งขึ้นมาทันที นิมิตอย่างอื่นไม่สะดุ้ง แต่ถ้าญาติพี่น้องตายนี่ยอมไม่ได้ แกก็สะดุ้ง จิตก็ไปเชื่อมั่นว่าที่เห็นเป็นเรื่องจริง แกเข้าใจว่าจริงๆ จิตที่ถอนขึ้นมาก็ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงอยู่ แกก็มาถามอาตมา ช่วยบอกให้อาตมาอดข้าวไป 12 วัน ช่วยอุทิศบุญกุศลให้น้องชายที่ตายไป อาตมาบอก อดข้าวยังไงก็อดได้ แต่เขียนจดหมายไปถามดูก่อนว่ามันตายจริงไหม แต่นิมิตนี้มันไม่ใช่หรอก มันมาหลอกให้จิตคุณนั้นเสีย ไปเข้าใจว่าสิ่งนี้ถูกต้อง จิตที่ดีๆ ก็เสียไปเลย จิตของเขาตั้งแต่วันนั้นก็เสียทุกวัน ฟื้นไม่ได้เลย ตอนนี้เขาก็ระลึกชาติต่างๆ นานา ว่าเขาเป็นลิง อาตมาเป็นช้าง คนโน้นเป็นโน่นเป็นนี่ สารพัดที่จะเห็น อาตมาก็กำหนดจิต อธิษฐานจิตกำหนดดู ก็อ้อ...อนิจจัง ทำยังไงได้ เขาไปเชื่อมั่นในตรงนั้นนิดเดียวเอง ถ้าเราจะไปกู้กลับมา ให้อาตมาหยิกเขา จนเนื้อบวมให้มีความรู้สึก ให้ฟื้นมามีความรู้สึกของตัวเอง หยิกเท่าไหร่ก็ไม่เจ็บ ไม่ช่วยเลย เพราะจิตมันออกไปแล้ว อยากให้ญาติโยมดำรงสติให้แน่วแน่ นิมิตที่มันผ่านไปผ่านมา อย่าไปยึดติดว่าเป็นจริงแน่ๆ เราก็เลยไม่เจอความจริง

เพราะสิ่งปรากฏไม่ได้ปรากฏด้วยอำนาจธรรม แต่ปรากฏด้วยวิบากกรรม ก็เลยทำให้จิตเสีย

เช่นพระสงฆ์ หมู่เพื่อนอาตมา ภาวนาดีมาก เช่นอาจารย์จุณ ขนาดเครื่องบินบินผ่านมาเห็นบนอากาศ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ต้องบินลงมาที่วัด มาเจอท่านนั่งอยู่ บอกว่าทำไมท่านนั่งอยู่ตรงนี้แล้วจิตท่านไปลอยอยู่กลางอากาศ จิตท่านดี ดีมาก เข้าฌานดีมาก เข้าใจว่าสิ่งที่เครื่องบินเขาเห็นเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ท่านก็คิดว่าจิตท่านดีมาก ก็เลยกำหนดจิตเรื่อยๆ ไป จนนิมิตว่าเทวดานิมนต์ท่านไปอยู่บนภูเขาเขตเขมร เทวดาจะบำรุงรักษา อุปฐากท่าน จังหวะพอดีที่อาตมาไป ก็บอก อาจารย์อย่าไปทำอย่างนั้น ให้คนแท้ๆ อุปฐากท่านก็ดีแล้ว จะให้เทวดาหุงหาอาหารให้ท่านกินจะดีเหรอ ท่านก็บอก เอ๊ะคุณไม่รู้ไม่เห็นอย่ามาพูด เขาเลยไปพูดกับหลวงปู่ หลวงปู่ก็บอกว่า “สิ่งที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่ไม่จริง” ท่านบอก เห็นจริงๆ ในนิมิต แต่ลืมตาขึ้นมาแล้วก็ไม่จริง ถ้าเราน้อมจิตของเรา เข้ามาดูในต้นจิต สิ่งนั้นก็จะหายเลย ไม่เกี่ยวข้องเลย เพราะนิมิตมาข้องกับจิต จิตมันไปติดอยู่ 50-50 ก็เลยนึกว่าเป็นเรื่องจริง

หลวงปู่ดูลย์ท่านบอก “สิ่งที่เห็น เห็นจริง แต่ไม่จริง” เลยเขาว่าหลวงปู่ไม่รู้จริง เขาเลยออกวิเวกไปกับน้องสาว น้องสาวไปนั่งอยู่ถ้ำเชียงดาว น้องสาวภาวนาดีมาก จิตดิ่งดี ไม่ลุกเลย 8ชั่วโมง พี่ชายก็ 16 ชั่วโมงไม่ลุกเลย ในถ้ำเชียงดาว ต่างคนต่างจิตดี กำหนดจิตไปเรื่อยๆ ถอนขึ้นมา เห็นว่าน้องสาวเป็นเมีย น้องสาวก็นิมิตเหมือนกัน เห็นว่าเป็นสามี คำว่าเมีย-ผัว รู้สึกว่าสะดุดจิตใจมาก โยมลองฝันถึงใคร โยมจะรู้สึกซาบซึ้งมากในการรู้สึกอย่างนี้ อาจารย์จุนก็เลยคิดว่าอ๋อฉันก็เป็นผัวจริงๆ ด้วย น้องสาวก็เป็นเมีย ต่างคนต่างเดินมาหากันตอนตีสาม ตรงนั้นความเป็นพระก็หายไป ความเป็นโยมก็หายไป เกิดการผิดทางธรรม ก็เลยต้องสึกออกไป ออกไปก็สติไม่ค่อยจะดีทั้งผัวทั้งเมีย การฝึกสมาธิ ขอให้ญาติโยมอย่าไปปักใจเชื่อมันเลย เป็นอันขาด ถ้ามันทำให้ออกจากหลักธรรมอย่างนี้ อย่าไปเชื่อมั่น ขอให้เรายึดมั่นสำคัญในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้านิมิตว่าพระพุทธเจ้ามาสอนให้พิจารณากาย อันนี้ถูกต้อง สอนธรรมให้ตัดกิเลส ตัดสงสัย อันนั้นยึดเป็นจริงได้ อันนี้เป็นเหตุผลของการปฏิบัติว่าทำไมปฏิบัติไปแล้วจิตเสื่อม ภาวนาขนาดเป็นอย่างนี้คิดดู เครื่องบินไปยังเห็นท่าน ท่านดังมากตอนนั้น จิตนี่เองไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้ เขาเรียกว่าวิบากทางจิต คือมีกรรมมา ญาติโยมต้องระวัง พระหลายองค์ โยมหลายๆ คนที่ไปเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ รู้ๆกันอยู่ว่าอดีตผ่านมาก็หลายๆ องค์ ต้องสึกไปแต่งงานกันก็เพราะนิมิต โยมต้องพยายามตัดใจให้ได้ อย่าไปกังวล ตัดทิ้งไปเลย เพราะตรงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราตก เราเคยไปผิดพลาด สวรรค์นิพพานไม่ให้ไปแล้ว มันอันตรายมาก การปฏิบัติจิตของโยมก็พยายาม กำหนดจิตของเราให้แน่วแน่ให้อยู่ในองค์พุทโธ มีแต่ความสว่าง ความรู้ ไม่มีนิมิตอะไรเลย ถ้าอยู่ในพุทโธจริง ๆ จะมีแต่ความสว่าง ความรู้ เป็นผู้ตื่น สว่าง เบิกบาน สบาย เพราะอยู่กับพุทโธ บางครั้งโยมบอกฉันไม่จำเป็นต้องท่องพุทโธหรอก ก็ไม่ต้องท่อง แต่ขอให้อยู่กับองค์ผู้รู้ ถ้าจิตยังไม่ถึงผู้รู้ที่แท้จริง ก็ต้องนึกเอาพุทโธนำ ขึ้นไปไว้ในใจของเรา ทำไปเรื่อยๆ พวกเราเป็นบุคคลที่ตื่นอยู่แล้ว ภาวนา ฟังเทศน์ทุกวัน แต่อยากเตือนไว้ว่า สิ่งผิดปกติก็เกิดกับผู้ที่ฝึกสมาธินี่แหละ เพราะจิตมันลึกซึ้งมาก พระเสียไป20เปอร์เซ็นต์จากจุดตรงนี้ ไม่ว่าธรรมยุต หรือมหานิกาย ญาติโยมก็เหมือนกันภาวนา ดีมาก เกิดพลิกผันจากการภาวนาไปเป็นความรักขึ้นมา อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะกำลังเดินทางดี ยิ่งเดินทางดีเท่าไหร่ ยิ่งปรากฏมาก ยิ่งตามล่ามาก มันพยายามก่อกวนขึ้นมา ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด มันจะผุดขึ้นมา ทำให้เกิดความหวั่นไหว ถ้าเราไม่หวั่นไหว เกิดขึ้นมาเราก็ปล่อยไป เราก็ทำตามคำแนะนำของหลวงปู่ดูลย์ไว้ว่า เห็นน่ะเห็นจริง แต่ไม่จริง เอาแค่นี้ เพราะเราต้องการชำระความสกปรก วิบากกรรมให้หมดไปเพื่อไปนิพพาน โยมเคยทำอะไรมากี่หมื่นชาติ สิ่งนั้นก็ตามล่ามาเป็นระลอกๆ ไม่ต้องกลัว ขอให้ตามมา เราก็ใช้ขันติบารมี ให้อดทนเท่านั้นที่จะชนะสิ่งทั้งปวง ต้องอดทนเพื่อชนะอารมณ์ที่ปรากฏในจิตของเรา โยมบอกว่าทำไมภาวนามีแต่วุ่นวาย ภาวนาไปทำไมมีแต่คนไม่ชอบหน้า อย่าไปเสียใจพระพุทธเจ้าท่านก็มีมารไม่ชอบหน้าอย่างเช่นพระเทวทัต แต่ว่าไม่มีมารก็ไม่ดี มีก็ดีแล้ว มีก็จะได้มีปัญญา ถ้าไม่มีมารโยมจะไปซักฟอกให้จิตใจใสสะอาดยังไง เราจะได้ซักฟอกให้เกิดความสะอาด เกิดความโกรธ โกรธก็ไม่ดี เกลียดก็ไม่ดี มีสมบัติมาก โลภก็ไม่ดี มีมารอย่างนี้คอยเป็นครูสอนตลอด เป็นคุณ แต่ถ้าเราตั้งคุณไว้ไม่ถูกก็เป็นโทษเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะฝากโยมไว้ว่าขอให้ยึดมั่นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ยึดพระธรรม ยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ตัวนี้ทำให้เราไม่หวั่นไหว ที่พูดเมื่อกี้นี้วิบากกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น กรรมนี้ใครทำก็รับกรรมไป ถือเป็นเรื่องปกติ พระพุทธองค์ท่านก็มีกรรมมาก พระเทวทัตกลั่นแกล้งต่างๆ นานา แล้วเราเป็นพุทธบริษัทของพระองค์ เราจะเหนือไปกว่าท่านได้อย่างไร เราต้องยอมรับ ขอให้มันมาเถอะ มาเร็วยิ่งดี เพราะตอนนี้สติปัญญาดี ต้องอธิษฐานว่ายิ่งมาเร็วๆ เท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าสติปัญญาไม่ดีมันมาเมื่อไหร่ละหลงทางเลย เป็นขี้ข้ามันเลย สำหรับวันนี้ก็สมควรด้วยเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.

 
  Today, there have been 15 visitors (26 hits) on this page!  
 

Tracked by Histats.com

This website was created for free with Own-Free-Website.com. Would you also like to have your own website?
Sign up for free